Logo
หุ้นไรดี
  • หน้าหลัก
  • แนะนำหุ้น
  • บทความ
Logo

งบ GRAB Q3/2025 กำไรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ...แต่ทำไมหุ้นร่วง?

kang
อพเดทลาสดวนท 07 พฤศจิกายน 2568
งบ GRAB Q3/2025 กำไรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ...แต่ทำไมหุ้นร่วง?

สวัสดีครับพี่น้องชาว 'หุ้นไรดี' ทุกท่าน วันนี้เรามาเจาะลึกหุ้นมหาชนที่ทุกคนในอาเซียนต้องเคยใช้ (และหลายคนอาจจะติดดอย) อย่าง GRAB กันครับ

เรื่องของเรื่องคือ งบ Q3 ปี 2025 ที่เพิ่งออกมาเนี่ย มัน "โคตรเทพ" ครับ... แต่เดี๋ยวก่อน... ทำไมหุ้นมันร่วงล่ะ!? มันเกิดอะไรขึ้นในตลาดกันแน่? วันนี้เราจะมาสับขาหลอกตลาด แล้วชำแหละงบการเงินฉบับนี้แบบบ้านๆ ให้เข้าใจกันไปเลยว่า "ของดี" หรือ "กับดัก" กันแน่!


ภาคแรก: งบการเงินที่ "เทพ" จนต้องร้องขอชีวิต

ต้องบอกเลยว่าไตรมาสนี้ GRAB ทำผลงานได้แบบ "Beat and Raise" คือดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แถมยังกล้าๆ ปรับเป้าหมายทั้งปีขึ้นอีกต่างหาก แต่ไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทเลยก็คือ...

GRAB มีกำไรจากการดำเนินงาน (IFRS) ครั้งแรก!

ย้ำอีกครั้งนะครับ นี่คือ "กำไร" จริงๆ ตามมาตรฐานบัญชี ไม่ใช่ "กำไรที่ปรับแล้ว" (Adjusted EBITDA) ที่บริษัทสายเทคชอบใช้ปลอบใจนักลงทุน (ซึ่งก็โต 51% เยอะอยู่ดี) การที่บริษัทพลิกมามีกำไรจริง 27 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยขาดทุน 38 ล้านในปีก่อนหน้า มันแปลว่า โมเดลธุรกิจนี้ "พิสูจน์" แล้วว่ามันทำกำไรได้จริง ไม่ได้เผาเงินไปวันๆ อีกต่อไป!

นี่คือการตบปากขาแช่งที่บอกว่า "ธุรกิจ Super App ไม่มีวันกำไร" ได้แบบหน้าหงาย

ยังไม่พอ ธุรกิจหลักอย่าง On-Demand (เรียกรถ, สั่งอาหาร) ก็โตระเบิด ยอดขาย (GMV) โตถึง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แถมยังเป็นการ "เร่งความเร็ว" ขึ้นจากไตรมาสก่อนด้วยซ้ำ

ภาคสอง: "วงล้อ" ที่เริ่มหมุนเร็วขึ้น (The Flywheel Effect)

จุดที่น่าสนใจและเป็นหลักฐานว่า "คูเมือง" (Moat) ของ GRAB แข็งแกร่งขึ้นจริง ไม่ได้อยู่แค่ยอดขาย แต่ลึกลงไปใน "คุณภาพ" ของการเติบโตครับ

ในไตรมาสนี้...

  • จำนวนคนใช้ (MTUs) โต 16%

  • แต่จำนวน "ธุรกรรม" (Transactions) โตถึง 27%!

เห็นความต่าง 11% นี่ไหมครับ? นี่คือหัวใจ! มันแปลว่า GRAB ไม่ได้โตเพราะหาลูกค้าใหม่ได้อย่างเดียว แต่ "ลูกค้าเก่า" นี่แหละ ที่ "ใช้บ่อยขึ้น" และ "ใช้ข้ามบริการ" กันมันส์เลย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "Flywheel Effect" หรือ "วงล้อ" ที่พอเริ่มหมุนแล้ว มันจะเร่งสปีดของมันเอง

พูดง่ายๆ คือ คนที่เคยเรียกแต่รถ ตอนนี้เริ่มสั่งอาหาร คนที่สั่งอาหาร ก็เริ่มใช้บริการส่งของ (GrabMart) ที่โตเร็วกว่าส่งอาหาร 1.5-1.7 เท่า! นี่คือความเหนียวหนึบของแพลตฟอร์มที่คู่แข่งเจาะยากมาก

ภาคสาม: เครื่องยนต์แห่งอนาคต "Fintech"

ถ้าธุรกิจ On-Demand คือ "วัวเงินสด" (Cash Cow) ที่คอยปั๊มเงินเข้าบริษัท... ธุรกิจ Financial Services (GFS) หรือ Fintech ก็คือ "เครื่องยนต์เจ็ท" ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของ GRAB ครับ

ไตรมาสนี้รายได้ฝั่ง Fintech โตไป 39% และที่พีคกว่าคือ ยอดการปล่อยกู้ โตระเบิดถึง 56% แตะ 886 ล้านดอลลาร์!

แต่เดี๋ยวนะ... ทำไมพอดู "กำไร" ฝั่งนี้ มันยัง "ขาดทุน" อยู่ล่ะ? แถมขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น -28 ล้านดอลลาร์ด้วย?

ตรงนี้แหละครับที่นักลงทุนรายย่อยต้องเข้าใจ! การขาดทุนนี้ "ไม่ใช่" สัญญาณที่ไม่ดี แต่มันเป็น "ผลกระทบทางบัญชี" ของการเติบโตที่เร็วเกินไป!

อธิบายง่ายๆ: เวลาธนาคาร (หรือ GRAB) ปล่อยกู้ 100 บาท ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ เขาต้อง "ตั้งสำรองหนี้สูญ" (Expected Credit Losses) ทันที เสมือนว่ามีโอกาสเสียเงินก้อนนี้ไปแล้ว (แม้ลูกหนี้จะยังดีอยู่) นี่คือ "ค่าใช้จ่าย" ที่โผล่ในงบทันที

แต่ "รายได้" (ดอกเบี้ย) จะค่อยๆ ทยอยรับรู้ทีละนิดๆ ตลอดอายุสัญญาเงินกู้

ดังนั้น ในช่วงที่ธุรกิจกำลัง "เร่ง" ปล่อยกู้หนักๆ (โต 56%!) ค่าใช้จ่ายจากการตั้งสำรองที่โดน "อัด" เข้ามาในไตรมาสเดียว มันจะ "สูงกว่า" รายได้ดอกเบี้ยที่ค่อยๆ ทยอยรับรู้ เสมอ!

การขาดทุน -28 ล้านดอลลาร์นี้ จึงไม่ใช่การขาดทุนเพราะธุรกิจไม่ดี แต่เป็น "ต้นทุน" ของการสร้างพอร์ตสินเชื่อ 886 ล้านดอลลาร์ต่างหาก! ตัวชี้วัดที่แท้จริงคือ "อัตราส่วนการขาดทุน" (Loss Margin) ซึ่ง "ดีขึ้น" อย่างก้าวกระโดด นี่แปลว่าโมเดลการปล่อยกู้ของ GRAB นั้น "เวิร์ค" ครับ


ภาคสี่: คำถามสำคัญ... งบดีขนาดนี้ แล้วทำไม "หุ้นร่วง"!?

นี่คือจุด Climax ของเรื่องครับ! งบออกมาเทพทุกกระเบียดนิ้ว แต่ทำไมตลาดถึง "เท" หุ้น?

คำตอบคือ ตลาดไม่ได้มองที่ Q3 ครับ... แต่ตลาดกำลัง "กลัว" สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (โดยเฉพาะปี 2026)

ความกลัวนี้เกิดจาก 2 ปัจจัย:

  1. คำพูดของผู้บริหาร: ผู้บริหาร GRAB ดันออกมาพูดเองว่าจะ "กลับมาเน้นการเติบโต" (Renewed growth focus) และจะ "อัดฉีดเงินเพิ่มในนวัตกรรมและความสามารถในการจ่าย" (Affordability)

  2. คู่แข่งที่น่ากลัว: ตลาดไม่ได้กลัว GoTo (คู่แข่งในอินโด) ที่เพิ่งจะพลิกมามีกำไรจิ๊บจ๊อยแล้ว แต่ตลาดกำลังกลัว "ยักษ์แฝด" อย่าง SeaMoney (บริษัทลูกของ Sea/Shopee)

นี่คือ "สงคราม" ที่แท้จริงครับ!

ตลาดเชื่อมโยง 2 เรื่องนี้เข้าด้วยกัน... GRAB เพิ่งจะมีกำไร เพิ่งจะมีเงินสดในมือ (Free Cash Flow) และในจังหวะเดียวกัน ผู้บริหารก็ประกาศ "อัดฉีดเงิน"

นักลงทุนเลยตีความทันทีว่า: "สงครามรอบใหม่กำลังจะเริ่ม!"

แต่คราวนี้ไม่ใช่สงครามลดราคาค่าส่งอาหาร แต่เป็น "สงคราม Fintech" ที่ต้องใช้ทุนมหาศาลเพื่อสู้กับ "Goliath" อย่าง SeaMoney

ลองดูขนาดพอร์ตสินเชื่อเทียบกันชัดๆ ครับ:

  • พอร์ตสินเชื่อของ GRAB: 821 ล้านดอลลาร์

  • พอร์ตสินเชื่อของ SeaMoney: 6,900 ล้านดอลลาร์ (6.9 พันล้าน!)

เห็นภาพหรือยังครับ? GRAB ใหญ่มากในโลก On-Demand แต่ในโลก Fintech พวกเขายังเป็นรอง SeaMoney อยู่เกือบ 10 เท่า!

ตลาดเลยกลัวว่า GRAB จะต้องเอา "กำไร" ที่อุตส่าห์ทำมาได้จากธุรกิจหลัก ไป "เผา" ในสงคราม Fintech รอบใหม่ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งจาก SeaMoney นี่คือความกลัวเรื่อง "Margin" (อัตรากำไร) ในอนาคต ที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น แม้ว่างบปัจจุบันจะดีแค่ไหนก็ตาม


บทสรุปสไตล์ 'หุ้นไรดี'

แล้วเราในฐานะ "เม่ารายย่อย" ควรจะคิดยังไง?

  1. ตลาดยุติธรรมเสมอ: ความกลัวของตลาดนั้น "มีเหตุผล" ครับ สงคราม Fintech มันแพงจริงๆ และการสู้กับ SeaMoney ไม่ใช่เรื่องง่าย

  2. GRAB กำลังเดินเกมที่ถูกต้อง: แต่ในอีกมุมหนึ่ง GRAB ก็กำลังทำในสิ่งที่ "ถูกต้องและจำเป็นที่สุด" ธุรกิจ Super App จะสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าไม่มี Digital Bank ที่แข็งแกร่ง ธุรกิจเรียกรถ/ส่งอาหาร มันคือ "ท่อ" ที่ใช้หาลูกค้าเข้ามาในระบบ ส่วนธุรกิจ Fintech คือ "เครื่องจักร" ที่จะทำกำไรมหาศาลจากลูกค้าเหล่านั้นในระยะยาว

  3. แลกหมัดระยะสั้น เพื่ออนาคตระยะยาว: GRAB กำลัง "เลือก" ที่จะสละ "กำไร" บางส่วนในระยะสั้น (ปี 2026) เพื่อสร้าง "ธุรกิจธนาคารดิจิทัล" มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า

ตลาดกำลังมองสั้นแค่ 1-2 ปีข้างหน้า แต่ GRAB กำลังวางหมากสำหรับ 10 ปี

การที่หุ้นร่วงลงมาเพราะ "ความกลัว" นี้ อาจจะเป็น "โอกาส" สำหรับนักลงทุนสาย VI ที่เชื่อใน "คูเมือง" และ "Ecosystem" ที่แข็งแกร่งของ GRAB ก็เป็นได้

แต่จงจำไว้ว่า นี่คือสงครามของยักษ์ชนยักษ์ ใครที่คิดจะลงทุนก็ต้องยอมรับความผันผวนระหว่างทางให้ได้ครับ!

คำเตือนเนื้อหาในบทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลและการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นคำแนะนำทางการเงิน คำแนะนำในการลงทุน หรือการชักชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ผู้เขียนไม่ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินหรือผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาต บทวิเคราะห์นี้สะท้อนความคิดเห็นส่วนบุคคลและการวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณะเท่านั้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีความเสี่ยงสูงและอาจส่งผลให้สูญเสียเงินต้นได้ ผู้อ่านทุกท่านควรทำการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง (Do Your Own Research) และ/หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ผู้เขียนไม่รับประกันความถูกต้องหรือครบถ้วนของข้อมูล และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลในบทวิเคราะห์นี้

kang

kang

Admin

Tags:
หุ้น
ข่าวสาร

บทความที่เกี่ยวข้อง