Logo
หุ้นไรดี
  • หน้าหลัก
  • แนะนำหุ้น
  • บทความ
Logo

ตลาดถล่ม! พอร์ตแดงเดือด? คู่มือเอาชีวิตรอดสำหรับนักลงทุนผู้มองไกล

kang
อพเดทลาสดวนท 17 พฤศจิกายน 2568
ตลาดถล่ม! พอร์ตแดงเดือด? คู่มือเอาชีวิตรอดสำหรับนักลงทุนผู้มองไกล

เปิดแอปพลิเคชันเทรดหุ้นขึ้นมาวันนี้... คุณรู้สึกอย่างไรครับ?

ผมเดาว่าความรู้สึกคงไม่ต่างกันมากนัก: ใจหายวูบ, ท้องไส้ปั่นป่วน, และอาจมีความรู้สึกเย็นเฉียบที่สันหลัง

หน้าจอที่เคยเป็นสีเขียวสบายตา บัดนี้กลับแดงฉานราวกับสมรภูมิรบ ตัวเลข "ติดลบ" ที่กระพริบอยู่ตรงหน้า มันไม่ได้เป็นแค่ตัวเลข แต่มันคือเงินที่เราหามาอย่างยากลำบาก คือความหวังที่เราฝากไว้

เสียงในหัวเริ่มดังขึ้น:

"พอแล้ว! ขายทิ้งให้หมดตอนนี้เลยดีไหม? อย่างน้อยก็ยังเหลือเงินสด"

"หรือมันจะลงไปอีก? เราควรหนีตอนนี้ ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรเลย"

"ทำไมเราไม่ขายตั้งแต่ตอนนั้น..."

ในยามที่ "ความกลัว" เข้าครอบงำตลาด (Extreme Fear) การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดมักเกิดขึ้นจาก "อารมณ์" ไม่ใช่ "เหตุผล"

บทความนี้คือ "สมอเรือ" ที่จะช่วยยึดคุณไว้ท่ามกลางพายุ ผมจะไม่บอกคุณว่า "ไม่ต้องกลัว" เพราะการกลัวเป็นเรื่องปกติ แต่ผมจะชวนคุณมาทำความเข้าใจ "ความจริง 4 ข้อ" ที่จะเปลี่ยนความกลัวของคุณให้เป็น "โอกาส" ครับ


ความจริงข้อที่หนึ่ง: นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย (มุมมองจากประวัติศาสตร์)

สิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้... การร่วงหนัก 10% หรือ 20% ในเวลาสั้นๆ... มันเจ็บปวดครับ แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของตลาดหุ้น นี่เป็นเพียง "เหตุการณ์ปกติ"

ลอง "ซูมเอาท์" (Zoom Out) ออกมาจากกราฟรายวัน แล้วมองไปที่ภาพใหญ่ที่สุด

ถ้าเราดู ดัชนี S&P 500 (แบบรวมปันผล หรือ Total Return) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทที่แข็งแกร่งที่สุด 500 แห่งในอเมริกา ย้อนหลังไป 20 ปี (นับจากปลายปี 2004 ถึง ปลายปี 2024 โดยประมาณ)

ผลตอบแทนรวมตลอด 20 ปีนี้ อยู่ที่ประมาณ +600%

ใช่ครับ... หกร้อยเปอร์เซ็นต์!

แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ ในระหว่าง 20 ปีที่สร้างผลตอบแทน +600% นี้ ตลาดต้องเจอกับอะไรบ้าง?

  • วิกฤตซับไพรม์ (Hamburger Crisis) ปี 2008: ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงดิ่งเหว -50% จากจุดสูงสุด หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว

  • วิกฤต COVID-19 (มีนาคม 2020): ตลาดใช้เวลาแค่เดือนเดียว ร่วงลงไป -34% เป็นการร่วงที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์

  • วิกฤตหนี้ยุโรป (2011), สงครามการค้า (2018), ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ (2022)

  • และมีการ "ปรับฐาน" (Correction) ย่อยๆ ที่ -10% ถึง -20% อีก นับครั้งไม่ถ้วน

การติดลบ -10% หรือ -20% ในวันนี้ เมื่อเทียบกับการเติบโต +600% ในระยะยาว... มันคือ "เหว" หรือเป็นแค่ "สะพาน" ที่เราต้องเดินข้าม?

ประวัติศาสตร์บอกเราชัดเจนว่า ตลาดหุ้นในระยะสั้น คือเครื่องจักรแห่งการ "ลงคะแนนเสียง" (Voting Machine) ที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความกลัว แต่ในระยะยาว มันคือเครื่องจักรแห่งการ "ชั่งน้ำหนัก" (Weighing Machine) ที่ราคาจะวิ่งเข้าหา "มูลค่าพื้นฐาน" เสมอ

การที่คุณขายหุ้นดีๆ ทิ้งในวันนี้เพราะความกลัว ก็เหมือนชาวสวนที่โค่นต้นแอปเปิ้ลทิ้งในฤดูหนาว เพราะคิดว่ามันคงตายแล้ว และจะไม่มีวันออกผลอีกต่อไป


ความจริงข้อที่สอง: สมองของคุณกำลัง "หลอก" คุณ

ทำไมเรารู้ทั้งรู้ว่าควร "ซื้อถูก ขายแพง" แต่ในสถานการณ์จริง เรามักจะ "ซื้อแพง (เพราะกลัวตกรถ)" และ "ขายถูก (เพราะกลัวขาดทุน)"?

คำตอบอยู่ที่จิตวิทยาและวิวัฒนาการครับ สมองของเราถูกออกแบบมาเพื่อ "เอาชีวิตรอด" ไม่ใช่เพื่อ "รวยจากการลงทุน"

  1. Loss Aversion (การกลัวความสูญเสีย): งานวิจัยชี้ชัดว่า "ความเจ็บปวด" จากการขาดทุน 10,000 บาท มันรุนแรงกว่า "ความสุข" จากการได้กำไร 10,000 บาท ถึง 2-3 เท่า! นี่คือเหตุผลที่เมื่อพอร์ตแดง สมองจะสั่งการให้เรา "หนี" เพื่อหยุดความเจ็บปวดนั้นทันที (นั่นคือการ "ขาย" นั่นเอง)

  2. Herding Behavior (พฤติกรรมฝูงชน): ในยุคดึกดำบรรพ์ ใครที่แยกตัวออกจากฝูง มักจะตาย แต่ใครที่วิ่งตามฝูง (แม้จะไม่รู้ว่าวิ่งหนีอะไร) ก็มักจะรอด สมองเราจึงมีแนวโน้มที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ เมื่อคุณเห็นข่าวประโคมว่า "ตลาดแc-!ก" คนรอบข้างโอดครวญ การ "ขายตาม" จึงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ

สิ่งแรกที่คุณต้องทำในตอนนี้ คือการ "หยุด"

หยุดเช็กพอร์ตทุก 5 นาที หยุดเสพข่าวร้ายซ้ำๆ หายใจลึกๆ แล้วบอกตัวเองว่า "โอเค ฉันกำลังรู้สึกกลัว แต่นี่คือปฏิกิริยาของสมองที่พยายามปกป้องฉัน ฉันจะไม่ตัดสินใจอะไรด้วยอารมณ์"

การ "นิ่ง" และ "ไม่ทำอะไรเลย" คือการกระทำที่ต้องใช้ "วินัย" สูงที่สุด และมักเป็นการกระทำที่ "ถูกต้อง" ที่สุดในยามนี้


ความจริงข้อที่สาม: นี่คือเวลา "ทำการบ้าน" ไม่ใช่ "ตื่นตระหนก"

เมื่อเราควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการกลับมาที่ "เหตุผล"

ตลาดขาลง คือ "ไฟฉาย" ที่ดีที่สุดในการส่องแยกระหว่าง "หุ้นดีมีพื้นฐาน" กับ "หุ้นกระแสที่เกาะเขามา"

ให้คุณกลับไปเปิดลิสต์หุ้นที่คุณถืออยู่ แล้วถามคำถามเหล่านี้กับหุ้น "ทีละตัว" อย่างซื่อสัตย์:

  1. "ถ้าวันนี้ฉันมีเงินสดเต็มมือ ฉันยังจะซื้อหุ้นตัวนี้ ที่ราคานี้ อยู่หรือไม่?"

    • ถ้าคำตอบคือ "ไม่" หรือ "ไม่แน่ใจ" ...คุณอาจจะเลือกผิดตั้งแต่แรก

  2. "พื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?"

    • ไม่ใช่ "ราคา" นะครับ แต่คือ "พื้นฐาน"

    • บริษัทยังทำกำไรได้ไหม? หนี้สินสูงไปหรือเปล่า? ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Moat) ยังอยู่ดีไหม? ผู้บริหารเก่งและซื่อสัตย์หรือไม่?

  3. "ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจนี้จะยังเติบโตและแข็งแกร่งอยู่หรือไม่?"

    • ถ้าวิกฤตครั้งนี้ (เช่น โรคระบาด, เงินเฟ้อ, เทคโนโลยีใหม่) ทำลายโมเดลธุรกิจของเขาอย่างถาวร... นั่นคือสัญญาณอันตราย

    • แต่ถ้ามันเป็นแค่ "พายุระยะสั้น" ที่กระทบทุกคน แต่บริษัทนี้แข็งแกร่งพอที่จะรอด และอาจจะกินส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งที่ล้มหายตายจากไป... นั่นคือ "โอกาส"

การทำการบ้านนี้ จะนำคุณไปสู่แผนปฏิบัติการที่ชัดเจน


ความจริงข้อที่สี่: วิกฤตคือ "ทางแยก" สู่แผนปฏิบัติการ

หลังจากคุณตอบคำถามในข้อ 3 แล้ว คุณจะรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร

ก. ถ้า "พื้นฐานเปลี่ยน" (หรือเราเลือกผิดตั้งแต่แรก)

ถ้าคุณพบว่าบริษัทที่คุณถืออยู่ไม่สามารถรอดจากวิกฤตนี้ได้จริง หรือคุณเพิ่งรู้ตัวว่าซื้อมาเพราะ "เขาเล่าว่า" โดยไม่เข้าใจธุรกิจเลย...

นี่คือเวลาที่ต้อง "ยอมรับความจริง" และ "ตัดขาดทุน" (Cut Loss)

เจ็บปวดครับ แต่การถือหุ้นที่พื้นฐานเน่าเฟะ ก็เหมือนการแบกซากศพไว้บนบ่า มันจะถ่วงพอร์ตคุณไปตลอดกาล การ "Cut Loss" คือการผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้ง เพื่อรักษาชีวิต (เงินส่วนใหญ่) ไว้ และนำเงินนั้นไปรอในที่ที่ปลอดภัยกว่า หรือรอช้อนซื้อ "ของดี" ที่คุณเข้าใจ

ข. ถ้า "พื้นฐานยังดีเยี่ยม" (แค่ราคาลงตามตลาด)

ถ้าคุณมั่นใจ 100% ว่าธุรกิจยังแข็งแกร่ง กำไรยังโต Moat ยังหนาแน่น แต่ราคาลงเพราะคนอื่น "ตื่นตระหนก" ...

ยินดีด้วยครับ! นี่ไม่ใช่ "วิกฤต" นี่คือ "โอกาสทอง" (Golden Opportunity)

นี่คือช่วงเวลาที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวไว้ว่า "จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว" (Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful)

  • ถ้าคุณมีเงินสด: นี่คือเวลา "ช้อปปิ้งของดีราคาถูก" นี่คือเวลาของ DCA (Dollar-Cost Averaging) การที่คุณทยอยซื้อหุ้นดีในราคาที่ต่ำลงเรื่อยๆ จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost) ของคุณต่ำลงอย่างน่าทึ่ง เมื่อตลาดฟื้นตัว คุณจะกลับมากำไรเร็วกว่าและมากกว่าคนอื่น

  • ถ้าคุณไม่มีเงินสด (ติดดอย): หน้าที่ของคุณคือ "อดทน" (Hold) ครับ ถ้าของมันดีจริง ก็แค่กอดมันไว้แน่นๆ ปิดแอปไปใช้ชีวิต ไปทำงานหาเงินเพิ่ม แล้วรอให้ "เวลา" เป็นเครื่องพิสูจน์มูลค่าของมัน

ผู้ชนะไม่ได้ถูกสร้างในตลาดขาขึ้น

ตลาดหุ้นขาขึ้นที่เขียวขจี มันง่ายครับ ใครๆ ก็เป็น "เซียน" ได้

แต่ "นักลงทุนตัวจริง" และ "ความมั่งคั่งที่แท้จริง" นั้น ถูกสร้างขึ้นในตลาดขาลงที่แดงฉานแบบนี้ต่างหาก

ตลาดหุ้นไม่ได้ให้รางวัลแก่คน "ฉลาดที่สุด" หรือ "เร็วที่สุด"

แต่ให้รางวัลแก่คนที่มี "วินัย" (Discipline) และ "ความอดทน" (Patience) สูงที่สุด

พอร์ตที่แดงในวันนี้ คือบททดสอบจิตใจที่โหดหิน แต่มันก็คือ "เมล็ดพันธุ์" ของความมั่งคั่งในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า หากคุณกล้าพอที่จะรดน้ำมันด้วย "เหตุผล" แทนที่จะราดมันด้วย "ความกลัว"

จงนิ่ง, ทบทวน, ทำการบ้าน และลงมือทำตามแผนครับ


หวังว่าบทความนี้จะช่วยเป็น "สมอเรือ" ที่แข็งแรงให้คุณในยามนี้นะครับ หากคุณต้องการให้ผมเจาะลึกเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่น วิธีการประเมินพื้นฐานหุ้น หรือจิตวิทยาการลงทุนเพิ่มเติม บอกได้เลยครับ

คำเตือนเนื้อหาในบทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลและการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นคำแนะนำทางการเงิน คำแนะนำในการลงทุน หรือการชักชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ผู้เขียนไม่ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินหรือผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาต บทวิเคราะห์นี้สะท้อนความคิดเห็นส่วนบุคคลและการวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณะเท่านั้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีความเสี่ยงสูงและอาจส่งผลให้สูญเสียเงินต้นได้ ผู้อ่านทุกท่านควรทำการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง (Do Your Own Research) และ/หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ผู้เขียนไม่รับประกันความถูกต้องหรือครบถ้วนของข้อมูล และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลในบทวิเคราะห์นี้

kang

kang

Admin

Tags:
กลยุทธ์การลงทุน

บทความที่เกี่ยวข้อง